เทศน์พระ

ข้อวัตร

๓ ก.ค. ๒๕๕๑

 

ข้อวัตร
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๑
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อีกปักษ์เดียวเนาะ เดี๋ยวก็เข้าพรรษา เข้าพรรษา-ออกพรรษาเป็นโลกสมมุติ เป็นเรื่องของสังคม แต่ถ้าเป็นการประพฤติปฏิบัติ มันทุกวันนะ เพราะเข้าพรรษา-ออกพรรษา คนก็เกิดคนก็ตาย เข้าพรรษา-ออกพรรษา มันก็ทุกข์เหมือนกัน ความทุกข์มันไม่รอเข้าพรรษา-ออกพรรษา แต่เวลาเข้าพรรษา-ออกพรรษา เป็นนักขัตฤกษ์ มันเป็นฤดูกาล ฤดูกาลเห็นไหม ฤดูฝน เขาทำมาหากินกัน เขาทำไร่ไถนากัน เราไม่ควรไปเหยียบย่ำของเขา นี่ในเรื่องของสังคม

แต่ถ้าเรื่องของเรานะ เรื่องของเรามันเป็นพุทธบัญญัติ สิ่งที่เป็นพุทธบัญญัติเราจะทำพุทธบัญญัตินั้น แล้วในพุทธบัญญัตินั้นสอนให้ทำความดี ถ้าทำความดีน่ะ ความดีมันอยู่ที่เรา ถ้ามีสติ หรือว่ามีสติมีสัมปชัญญะ เราทำได้ของเราตลอดไป ถ้าไม่มีสติมันโลเลนะ ดูสิ ธุดงค์กันไปเห็นไหม เร่ร่อนกันไป มันพเนจรไป แต่ถ้ามันเป็นธุดงค์ของเรานะ เป็นธุดงค์มันธุดงค์นะ มันไม่ใช่เดินธุดงค์ดั้นด้นไปให้พ้นดงนั้นออกไป ไอ้ดงกิเลสในหัวใจเราไม่ได้ดู แต่มันอยู่ที่ไหนมันก็ทำได้

ถ้ามันทำได้เห็นไหม มันมีสติสัมปชัญญะทำอะไรมันจะเรียบร้อยนะ มีสติสัมปชัญญะ มีความระลึกรู้อยู่ ความระลึกรู้อยู่ใครจะสร้างให้ล่ะ เวลาศึกษาขึ้นมาศึกษาเพื่อความรู้ แต่ในการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราจะรู้ขึ้นมาจากเรา ถ้ารู้ขึ้นมาจากเรานะ มันตื่นตัวไง คนตื่นตัว คนมีสตินะ ทำอะไรมันไม่ผิดพลาด ถ้าทำอะไรขาดสติไปมันก็ผิดพลาด แล้วความระลึกรู้เห็นไหม ความสำนึก ถ้ามีความสำนึกอยู่มันทำอะไรมันก็เป็นประโยชน์กับเรา

ความสำนึกนะ สำนึกว่าตอนนี้เราเป็นอะไร ตอนนี้เราเป็นพระใช่ไหม เป็นพระนี่ พระควรทำอย่างไร พระมันมีศีลธรรมมีคุณธรรมนะ เป็นพระ เป็นพระเพราะสังคมเขาหวังกับพระมาก พระนี้เป็นผู้ให้ พระเป็นผู้เสียสละ พระเป็นผู้ที่มีศีลมีธรรม แล้วพระเรานี่เขายกมือไหว้ทำไม เขาทำบุญตักบาตรทำไม เวลาทำบุญตักบาตรนะ เวลาพูดกับโยมมันก็ไปอีกอย่างหนึ่ง ถ้าไม่มีพระ เขาจะมีศรัทธาขนาดไหน เขาอยากจะทำบุญขนาดไหน ถ้าไม่มีพระบุญของเขาก็สำเร็จไปไม่ได้ เขาก็ต้องอาศัยพระที่เป็นเนื้อนาบุญ

แล้วพระที่เป็นเนื้อนาบุญ สิ่งที่ได้มาเห็นไหม เขาสละทานมาแล้ว เขาหวังบุญกุศลกับเรา แล้วเราถามสิว่า มันมีบุญกุศลไหม ตัวเรามีบุญกุศลจะให้เขาได้ประโยชน์ไหม ความทุกข์ในหัวใจเรา ความอึดอัดขัดข้องในใจเรา มันเต็มหัวใจไหม มันพร้อมที่จะมีบุญกุศลเผื่อแผ่คนอื่นไหม

ถ้าบุญกุศลเผื่อแผ่เราเองมันยังไม่มี แล้วมันจะเอาอะไรไปเผื่อแผ่เขา มันมีแต่กิเลสตัณหาความทะยานอยาก มีแต่กิเลสไง เอากิเลสไปเผื่อแผ่ใคร เอาไฟไปเผาบ้านใคร บ้านเขาก็ไฟลุกไหม้อยู่แล้ว จะเอาไฟที่ไหนไปลุกไหม้เขาอีก ไฟในหัวใจเราได้ดับมันไหม ถ้าได้ดับมัน นี่อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ถ้าตนรู้จักการประพฤติปฏิบัติ ตนเข้าใจถึงข้อวัตรปฏิบัติ ถึงสิ่งที่ดับไฟ เห็นไหม ถ้าเราดับไฟแล้วเราก็ไปสั่งสอนเขาได้

ไอ้นี่ไฟในบ้านตัวไม่ได้ดับ ลุกโชติช่วงชัชวาลเลย แล้วจะไปดับไฟบ้านคนอื่น แหม ทำบุญแล้วได้บุญอย่างนั้นนะ สละทานแล้วได้บุญอย่างนี้นะ ไอ้ตัวเองมีบุญมาให้เขาบ้างหรือเปล่า เวลาขอศีลๆ ให้ศีลเขา ตัวเองมีศีลสักข้อไหม ศีลตัวเองน่ะมีหรือเปล่า ถ้าศีลตัวเองมันมี มันก็ให้ศีลเขาได้ เห็นไหม อาราธนาขอศีล ถ้าเป็นสังคมอาราธนาขอศีลก็อยากจะให้ศีลเขา อยากจะเทศนาว่าการสอนเขา ทำไมไม่สอนตัวเอง ตัวเองสอนบ้างหรือยัง

ถ้าตัวเองมันมี ตัวเองทำความผิดพลาดอะไรบ้าง ถ้าศีล ศีลเราบริสุทธิ์หรือเปล่า อาราธนาเขาขอศีลน่ะ เราเป็นพยานให้เขาเฉยๆ จะเอาศีลที่ไหนไปให้เขา ตัวเองมีอำนาจจะเอาศีลที่ไหนไปให้เขา จะบัญญัติศีลขึ้นมาให้ไปแจกเขาเหรอ ศีลมันเกิดจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บัญญัติเอาไว้แล้ว ศีลมันเป็นวินัย เห็นไหม เป็นวินัยข้อบังคับ

ในเมื่อเขาขอศีล เขาประกาศตนกับเราเท่านั้นเองว่าเขาจะถือศีล ๕ ถือศีล ๘ ถือศีล ๑๐ อันนั้นเขาประกาศตนของเขา เราเป็นพยานให้เขาเท่านั้น แต่มันเป็นพิธีกรรม เห็นไหม เขาก็ขอศีลกัน เขาก็ให้ศีลกันเป็นพิธีเท่านั้น เป็นพิธีเท่านั้นก็เป็นเรื่องของโลกๆ แล้วเรื่องของโลกๆ เราไปยุ่งกับเขาทำไม หน้าที่ของตัวเองทำไมไม่ทำ สิ่งใดเป็นสมบัติ ข้อวัตรปฏิบัติมันมีอยู่แล้วในเสขิยวัตร

ในเสขิยวัตร ในบุพสิกขา เห็นไหม หน้าที่ของสงฆ์ กิจ ๑๐ อย่างของสงฆ์ทำอะไรบ้าง? กิจของสงฆ์ทำหรือยัง? กิจของสงฆ์เป็นสงฆ์หรือเปล่า เป็นสงฆ์ขึ้นมา บิณฑบาต เอาสิทธิอะไรไปบิณฑบาตกับเขา ก็ถือสิทธิว่าเป็นพระไง สิทธิเป็นพระ ภิกขาจารเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง ออกไปบิณฑบาตกับเขา นี่สิทธิของเรา

แล้วหน้าที่ล่ะ หน้าที่กิจของสงฆ์ หน้าที่ของสงฆ์ได้ทำบ้างหรือยัง? กิจของสงฆ์ต้องทำ มาประชุมพร้อมกันเนืองนิตย์ เลิกประชุมพร้อมกันเนืองนิตย์ เวลาบุพสิกขา เดี๋ยวบอก เห็นไหม สาธุ ภันเต สาธุ ภันเต สิ่งที่บุพกิจ กิจของสงฆ์ทำหรือยัง กิจของสงฆ์ กิจบนศาลานี่กิจของสงฆ์ทั้งนั้น มันหน้าที่ของใคร อาสนะนี่ใครเอามาปูให้นั่ง อาสนะใครเป็นคนปู แล้วเรามานั่งของเขา สิทธิอะไรไปนั่งของเขา ใครเป็นคนปู สิทธินี้

มันเป็นกิจของสงฆ์ มันเป็นธุระของสงฆ์ทั้งหมด สงฆ์เป็นคนทำ บุพกิจๆ เวลาบอกบุพกิจ สามเณร เห็นไหม เณรทำให้ คฤหัสถ์ทำให้ พระทำให้ แล้วทำหรือยัง? สาธุ ภันเตๆ สาธุนั้นโกหก มาถึงก็มานั่งเหม่อลอยกัน คุยกันเป็นนกแก้วนกขุนทอง ให้คนอีกคนหนึ่งแบกรับภาระไว้ ถึงเวลาก็ใช้สิทธิๆ หน้าที่ตัวเองไม่เคยดูแลเลย มันต้องมีหน้าที่ของตัวสิ ทุกคนใช้สิทธิ์หมดเลย แล้วทุกคนไม่ใช้หน้าที่เลย แล้วสงฆ์อยู่กันอย่างไร ทุกคนใช้สิทธิ์หมดแต่หน้าที่ตัวเองไม่รู้จักทำ ศาสนามันจะมั่นคงไม่มั่นคง

เราจะให้ศีลเขา เราจะบอกศีลเขา ศีลเราต้องมี เราต้องรู้จักหน้าที่ของเราด้วย สิทธิหน้าที่มันมีทั้งนั้น แล้วสิทธิหน้าที่มันเป็นบุพกิจ มันเป็นวัตรในศาลา เห็นไหม บิณฑบาตเป็นวัตร ไม่ใช่กูมีบาตรอยู่ใบหนึ่ง ไปไหนกูก็เอาบาตรกูไปตั้งๆ ไม่เคยทำอะไรเลย เอาบาตรกูไปตั้งๆ กูมีบาตรใบเดียว กูรักษาแต่ปากของกูคนเดียว กูมีปาก กูมีท้อง กูจะรักษาปากของกู แล้วคนอื่นกูไม่เกี่ยว แล้วสังฆะมันจะอยู่กันอย่างไร

สังฆกรรมเห็นไหม หน้าที่ของสงฆ์ หน้าที่ของสงฆ์มันต้องเข้าใจของสงฆ์ แล้วมานี่ ใครไปอยู่ที่ไหนแล้วแต่มันต้องหมั่นศึกษา เห็นไหม หูตามันต้องมี การกระทำมันไม่ใช่ว่าทำแต่ทิฏฐิของเรา มีความเห็นอย่างนี้ ต้องทำอย่างนี้ ทำอย่างนั้น ไอ้ทำอย่างนั้นมันเป็นความทิฏฐิของตัว แล้วทำกับตัวมันต้องรู้สิว่าทำนี่มันเป็นการฝึกสติ มันเป็นการฝึกสติ มันเป็นการกระทำ ฝึกสตินะ ฝึกสติ ข้อวัตรปฏิบัติมันมีอยู่ของเขาอยู่แล้ว แต่เราไปทำขวางเขาไง ทัพพีขวางหม้อ ไอ้นี่เอาทิฏฐิมานะไปขวางเขา กูรู้ กูแน่ กูรู้ กูแน่ กูทำของกูได้ กิเลสทั้งนั้นๆ

ทำไม่ได้! จะทำมันต้องสังเกตก่อนว่าเขาทำอย่างไร เขาปูทางซ้าย เราไปปูทางขวา เขาปูทางขวา เราจะไปปูด้านหลัง ปูเหมือนกัน ปูเสื่อเหมือนกัน ทำอะไรเหมือนกัน มันเหมือนกันแต่ไม่เหมือนกัน กินเหมือนกันก็ไม่เหมือนกัน ดูสิ คฤหัสถ์ญาติโยมเขากินข้าวเหมือนกัน แต่เราฉันอาหาร ปฏิสังขาโยหรือยัง ฉันเข้าไปนี่ฉันถ่านเพลิง ถ้าทุศีลอยู่ สิ่งที่ได้มาฉันเข้าไปถ่านแดงๆ ผ่านเข้าไปในปาก ตอนกินอยู่ก็อร่อยเป็นข้าวทั้งนั้น แต่ตายไปเป็นกรรม เห็นไหม เป็นวัวเป็นควายไปไถนาใช้เขา เวลาตายไปไปเป็นวัวควาย วัวควายมีแต่สีเหลืองทั้งนั้น สีเหลืองสีขาว เพราะอะไร เพราะกินแล้วไม่ทำข้อวัตร กินแล้วไม่รู้จัก นี่ยังดีนะกินแล้วไปเป็นวัวเป็นควายนะ ตายไปไปเกิดเป็นวัวเป็นควาย ตายไปเกิดนรกอเวจีโน่นน่ะ

บุญกุศลเราอยู่ที่ไหน เราทำอะไรสมควรเป็นหน้าที่กับเราหรือยัง หน้าที่ของเราสมควรกระทำไหม ไอ้นี่เปลือกๆ เลย หน้าที่พื้นฐานของพระเท่านั้นเอง ยังไม่มีสติสัมปชัญญะเข้าไปภาวนาไปชำระกิเลสเลย ชำระกิเลสมันอยู่ข้างในนะ ถ้าข้างนอกมันยังหยาบขนาดนี้ ข้างนอกมันยังนอนจมขนาดนี้ นี่วัดเป็นส้วมเป็นถาน ภิกษุเป็นมูตรเป็นคูถ ถือสิทธิว่าเป็นพระต้องมีคนอุปัฏฐาก ร้อยสันพันคมเลย วัดทั่วไปเห็นไหม โยมล้อมหน้าล้อมหลังเลย พระเป็นเทวดา

มันเป็นเทวดาอย่างไรมันเป็นเปรตต่างหาก เปรตทั้งนั้น ถ้าเป็นเทวดา ถ้าจะเป็นพระนี่ เป็นพระอยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ อยู่โคนไม้อยู่คนเดียวนี่แหละ แต่อยู่คนเดียวธุดงค์ไปเห็นไหม ขนาดว่ารอบบริเวณที่อยู่จะสะอาดไปหมด เสือเข้ามา สัตว์เข้ามา จะเห็นรอยเท้าหมดเลย เพราะเรามีข้อวัตรของเรา เราต้องตีตาด เราต้องรักษาที่อยู่อาศัยของเรา ไม่ต้องจ้ำจี้จ้ำไช

เราควรจะรู้นะ เราควรจะรู้ว่าสิ่งอย่างนี้มันศึกษากันได้ ถ้ามันศึกษากันได้ ทุกคนบวชมานี่เพื่ออะไร บวชขึ้นมาหวังพ้นทุกข์ทั้งนั้น อยากจะสิ้นสุดจากทุกข์ แล้วสิ้นสุดจากทุกข์เริ่มต้นจากที่ไหน แล้วเริ่มต้นขึ้นมาก็จะไปสอยดาวใช่ไหม บวชแล้วจะเอาดาวเอาเดือน แล้วดาวเดือนเอาอะไรไปสอยมัน ดาวเดือนมันต้องนั่งห้างขึ้นไปสอยดาวสอยเดือนสิ

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่จะเข้าไปสอยดาวสอยเดือน ที่ว่ามรรค ผล นิพพาน มันอยู่จากข้อวัตรปฏิบัตินี้ขึ้นไป มันอยู่สติสัมปชัญญะนี้ขึ้นไป จะไปสอยเอาดาวเอาเดือนแต่ตัวเองเลวอย่างกับหมา จะสอยเอาดาวเอาเดือนเราต้องเป็นคนดีก่อน เราต้องสร้างฐานของเราขึ้นมาก่อน ถ้าเราสร้างฐานขึ้นมาเราจะเอาดาวเอาเดือนได้เลย มรรค ผล นิพพาน อยู่ที่กลางหัวใจนี้ มรรค ผล นิพพาน มันจะไปเอาดาวเดือนที่ไหน ดาวเดือนนั้นเป็นสมมุติ มรรค ผล นิพพาน สุขทุกข์มันอยู่ที่ใจ

สิ่งที่จะเข้าไปค้นหาความสุขความทุกข์ พื้นฐานมันต้องมีก่อน มรรค ผล นิพพานๆ ปากเปียกปากแฉะ สุมหัวกันอย่างกับซ่องโจร มันสุมหัวกันได้อย่างไร อยู่ด้วยกันมันแยกออกไป เห็นไหม มันต้องมีความสงัด มันวิเวก มันจะไม่คลุกเคล้ากัน อยู่ด้วยความไม่คลุกเคล้ากัน แยกตัวออกไป ถ้าแยกตัวออกไปเวลาเข้ามาในหมู่คณะ หน้าที่การงานก็คุยกันแต่พอประมาณ

หลวงตาท่านพูดประจำ เวลาพระคุยสัลเลข สัลเลขคือการมักน้อยสันโดษ พูดถึงมรรค ผล นิพพาน พูดถึงข้อวัตรปฏิบัติ การประพฤติปฏิบัติ แล้วข้อวัตรปฏิบัติควรปฏิบัติอย่างไร แล้วถ้าใครขาดตกบกพร่อง ใครไม่อยู่ มันต้องทดแทนกันได้ มันต้องมีการทดแทนกัน มันต้องรู้เข้าใจกันว่าคนนี้ทำอย่างนี้ สังเกตดูว่าทำอย่างไร เขาทำอย่างนี้ ไม่ใช่เดี๋ยวกูจะทำอีกอย่างหนึ่ง เดี๋ยวขวางแม่งไปหมดเลย กูจะเป็นทัพพีขวางหม้อ มันเป็นไอ้เข้ขวางคลอง ขวางไปหมด อวดรู้อวดเห็นๆ มันมาจากไหน เอาความเห็นมาจากไหน

แม้แต่พระอินทร์ยังมาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย สิ่งที่พวกเทวดาเขาเป็นเทวดา เขาเอาอะไรไปทำเป็นเทวดาอย่างไร เทวดาก็สาธารณประโยชน์ไง สิ่งที่เป็นสาธารณประโยชน์ ศาลาโรงธรรมต่างๆ แม้แต่เหตุเป็นเทวดายังมีเลย อย่าว่าแต่รู้ว่าเทวดามีหรือไม่มี

นี่ก็เหมือนกัน เราเอาความเห็นความรู้ของเรา เอาอะไรมาทำ เอาความรู้ความเห็นของเรามาขวางไว้ ทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ ขวางเขาไปหมดเลย เขาทำแล้วเป็นสิ่งที่ดี เราควรช่วยกันผ่อนแรงผ่อนภาระกัน เพราะอะไร เพราะมันก็กินอยู่เหมือนกัน ความกินอยู่ เห็นไหม ดูสิ สังคมน่ะ ขอทานเงินทองตกใส่กะลา เขาเอาไปหาเป็นปัจจัยเครื่องอาศัยของเขา คนทำมาหากินก็เป็นเรื่องของเขา

เราเป็นภิกษุ เห็นไหม ทุกคนเกิดมามีชีวิต มันต้องอยู่ต้องกินเหมือนกันทั้งนั้น แต่การอยู่การกินของใคร การอยู่การกินของขอทาน การอยู่การกินของคฤหัสถ์เขา การอยู่เห็นไหม กิน รับประทาน เสวย ของเรามันฉัน การกินการอยู่มันเป็นเรื่องการกินการอยู่นี่แหละ แต่ทำไม่เหมือนกัน อยู่เหมือนกันแต่ทำไม่เหมือนกัน

ชีวิตเราต่างจากคฤหัสถ์แล้วนะตั้งแต่วันบวช อุปัชฌาย์บอกเลย ชีวิตของภิกษุต่างจากคฤหัสถ์แล้ว ไม่ใช่ดำรงชีวิตแบบคฤหัสถ์เขา เขาก็กินอยู่อาศัยเหมือนกัน เราก็กินอยู่อาศัย แต่กินอยู่อาศัยแบบผู้เห็นภัย กินอยู่อาศัยแบบผู้มีสติสัมปชัญญะไม่ได้กินอยู่อาศัยแบบโลกเขา เขากินเราก็กิน เอ้า เขากินด้วยกูก็กิน เขานอนกูก็นอน แล้วชีวิตเราต่างจากคฤหัสถ์ตรงไหน? ชีวิตมันต่างจากคฤหัสถ์ตรงไหน?

ชีวิตมันต่างจากคฤหัสถ์เพราะว่ามันมีสำนึกนี่ไง มีสำนึกว่ากินอยู่เหมือนกันนี่แหละ แต่กินอยู่ไม่เหมือนกัน กินอยู่แบบพระ กินอยู่แบบคฤหัสถ์เขา กินอยู่กับสังคมของเขา ทีนี้กินอยู่แบบพระกินอย่างไร ดูสิ เช้าขึ้นมาบิณฑบาตมา เราจะกินอย่างไร เราจะอาศัยอย่างไร แล้วดูสิ ไม่ใช่เอานิสัยของโลกๆ มา เขาก็กินได้ เดี๋ยวนี้เขากินเป็นโต๊ะจีน เขากินหูฉลาม เขากินในเหลากันน่ะ ไอ้พระเขาจะลากเข้าไปกินในโรงแรมกันโน่นน่ะ จะไปกินอย่างนั้นเหรอ เพราะอะไร? เพราะไม่มีสำนึกไง ไม่มีสำนึก ชีวิตแตกต่างจากคฤหัสถ์แล้วนะ

ในเมื่อสังคมเขาเป็นอย่างนั้น สังคมเขาเป็นไป เขาอยากทำของเขาไป นั่นมันเรื่องสังคมของเขา ถ้าพระเขาจะไปทางนั้น พระโลกๆ ก็เรื่องของเขา เขาเป็นผู้ไม่เห็นภัยในวัฏสงสาร ในเมื่อเราเป็นผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร เราจะทำตัวอย่างนั้นไม่ได้

ในเมื่อทำตัวอย่างนั้นไม่ได้ เราสำนึกไหม เราสำนึกว่าชีวิตเราต่างจากคฤหัสถ์หรือยัง ถ้าชีวิตเราไม่ต่างจากนั้น ผมอยู่บนหัวโกนทำไม แล้วทำไมไม่ไว้ผม ไม่นุ่งกางเกงแบบเขาล่ะ นี่เราไม่นุ่งกางเกงแล้วนะ เราละมาแล้ว ผมบนหัวเราก็โกนทิ้งหมดแล้ว เราไม่นุ่งกางเกงแล้ว ชีวิตแบบนั้น ความคิดแบบนั้น เขาเรียกว่านิสัยคฤหัสถ์ ที่ขอนิสัย ๕ ปีเขาทำตรงนี้ไง

ขอนิสัย ๕ ปีเพื่อให้พระบวชเข้ามาแล้วให้ใช้ชีวิตแบบพระ ชีวิตคฤหัสถ์ เห็นไหม ๕ ปี ขอนิสัยๆ เพราะมันติดนิสัยนั้นมา พอติดนิสัยนั้นมา บวชเข้ามาในพระแล้วนิสัยอย่างนั้นเอาเข้ามาใช้ในนี้ไม่ได้ ทีนี้พอใช้อย่างนี้ไม่ได้ก็ต้องสังเกตว่าเขาดำรงชีวิตกันอย่างไร เขาดำรงชีวิตอย่างไร เราพยายามเตือนสติว่าเดี๋ยวนี้เราเป็นพระ เป็นพระมันมีธรรมวินัยบังคับ ถ้าธรรมวินัยบังคับ เราบังคับอย่างนั้นว่าชีวิตนี้มันจะเข้ามาเป็นพระ

ถ้าเข้ามาเป็นพระ นี่เป็นพระจากข้างนอก ถ้ามันเป็นพระจากข้างนอกมันมีศีลมีธรรมของมันขึ้นมา แล้วการประพฤติปฏิบัติอ่อนแอมาก เรื่องข้อวัตรนี่อ่อนมากเลย เพราะอะไร มันไม่ได้จี้ไง มันไม่ได้จี้เพราะอะไร เพราะมันปล่อยตามสบาย ปล่อยตามสบาย ไอ้ที่เข้ามาใหม่ก็ดื้อด้าน ดื้อด้านเข้ามา พอดื้อด้านเข้ามาก็เอาแต่ชีวิต เอาแต่ความคิดเห็นของคฤหัสถ์เข้ามา ว่ากูแน่ๆ ทำอะไรกูทำได้หมดเลย ทำแบบชีวิต ทำอย่างนั้นเลย แล้วไอ้ที่พระเขาทำกันอยู่นี่ พระก็คิดนะ ก็เหมือนกัน ก็ปูเสื่อปูอาสนะเหมือนกัน เหมือนกันที่ไหน ปูไปปูมามันจะปูลงไปทะเลโน่น เพราะเขามีข้อวัตรของเขา เพราะเขามีข้อวัตรบังคับว่าอะไรเป็นอาบัติ อะไรไม่เป็นอาบัติ เพราะมันอยู่ในบุพสิกขา สิ่งใดควรไม่ควร มันมีอาบัติบังคับอยู่ เหมือนนักกฎหมายทำผิดไม่ผิด เขารู้ของเขา

เห็นเขาทำกูก็ทำ กูก็เก่ง กูก็แน่ มันใช้ไม่ได้ สังเกตเขาสิ สังเกต ทำเหมือนกันแต่ไม่เหมือนกัน พอทำไม่เหมือนกันต้องหมั่นสังเกตว่ามันได้หรือไม่ได้ ทำหรือไม่ทำ ถ้าทำอย่างนั้นขึ้นมาแล้วมันก็จะเห็น

เวลาไปวัด เห็นไหม เราไปวัดครูบาอาจารย์สิ วัดไหนครูบาอาจารย์ที่อยู่ในศีลในธรรม เข้าไปสิ ในวัดร่มเย็น มันน่าชื่นใจ ไปวัดไหน เห็นไหม พอเข้าวัดไป โอ้โฮ สกปรก ขนหมาเต็มศาลา นั่นน่ะมันทิ้งหมดเลย ไอ้นี่มันก็ศาลาวัดไง ศาลาวัดมันก็เหมือนศาลาริมทาง มันเป็นที่สาธารณะไง ไม่มีใครดูแลรักษาก็เป็นของสาธารณะใช่ไหม ไอ้เราเป็นบุคคลใช่ไหม ทิ้งกันไปหมดเลย

นี่ก็เหมือนกัน แต่ของๆ เรา แม่งของกู กูเอาหมดเลย เวลาของเป็นส่วนรวม เป็นวัดเป็นวา ไม่มีใครสนใจเลย นี่กิจของสงฆ์ไง จิตใจมันไม่เป็นจิตใจสาธารณะ จิตใจมันยังเห็นแก่ตัวอยู่ จิตใจมันยังมีกิเลสอยู่ สิ่งนี้มันต้องคิด ถ้าสิ่งนี้มันคิดขึ้นมามันจะรู้เลย รู้ว่าสิ่งใดเป็นกิจของสงฆ์ สิ่งใดเป็นสามัญสำนึกของเรา สามัญสำนึกของเรานี่ทำไปใช้ชีวิต ของอย่างนี้มันสอนกันไม่ได้ แล้วสอนขึ้นไป พอจะสอนอย่างนี้ไปก็เอาทิฏฐิเข้ามา ทิฏฐิว่ากูแน่ กูรู้ กูแน่ทั้งนั้นล่ะ มันนึกว่ากูแน่ทั้งนั้น กูมาจากโลก กูมีสถานะมา เอาทิฏฐิเข้ามา

แต่พอมันมีประสบการณ์ผ่านไปสักปี ๒ ปี จนถึง ๕ ปี ๑๐ ปี พระมันถึงจะได้นิสัยขึ้นมา นิสัยมันนี่ดำรงชีวิตอย่างไร แล้วมองกันออก ดูสิ ดูทางวิชาชีพ ใครอยู่ทางวิชาชีพไหนก็แล้วแต่ เขาแสดงออกมาในวิชาชีพ เขาจะมองออกทันทีเลยว่าคนนี้ทำถูกหรือว่าทำไม่ถูก พระก็เหมือนกัน แค่เห็นกิริยานี่รู้เลยว่าพระองค์นี้ทำตัวอย่างไร พระองค์นี้ทำไมดื้อด้านขนาดนี้ มันดื้อด้านจนเป็นนิสัย ดื้อด้านจนเป็นสภาวะแบบนั้น ดื้อด้านจนไม่รู้จักเลย ดื้อด้านว่ากูเป็นอย่างนี้ตลอดไป

แต่ถ้ามันเข้ามา มันกล่อมเกลา มันขัดเกลาของมันขึ้นมานะ มันจะเริ่มรับผิดชอบ สิ่งใดๆ นะ มันเป็นของๆ เราทั้งนั้น ดูสิ เวลาพระธุดงค์ไป เห็นไหม ไปที่เรือนว่าง เขามีเตียงตั่งที่วางอยู่ มีมุ้งหมอนที่ผูกไว้ แล้วเอามาใช้ ภิกษุจากไปไม่เก็บเป็นอาบัติปาจิตตีย์ ต้องเก็บเหมือนเก่า เตียงตั่งต้องยกขึ้นมาตั้งไว้ เพราะอะไร เพราะปลวกมันจะขึ้น ต้องมีสิ่งใดรองไว้ เอามาปูน่ะ เตียงตั่งเอามากางแล้วกางกลด เห็นไหม แล้วเวลาไปต้องเก็บ สิ่งนั้นต้องยกขึ้นไปเก็บไว้ แล้วต้องเก็บไว้ให้เรียบร้อยให้พ้นไปจากปลวก แล้วถ้ามีกิจจำเป็นเร่งด่วนต้องไป ต้องบอกใคร

ภิกษุ ไม่เก็บเองก็ดี ไม่บอกผู้อื่นเก็บก็ดี จากสิ่งที่นั้นไปเป็นอาบัติปาจิตตีย์ ของใช้ เสื่อหมอน ที่เอาไป ใช้แล้วไม่เก็บเป็นปาจิตตีย์หมดเลย มันเป็นของของสงฆ์ ของนั้นมันกองอยู่ที่ไหน ที่วางที่เป็นส่วนรวมขึ้นมาแล้วเอาไปใช้ ใช้เสร็จแล้วก็โยนทิ้ง ไม่รู้จักเอาไปเก็บให้เป็นที่ เป็นอาบัติทั้งนั้นเลย แต่เป็นประสาเรา โอ้ย ก็หมอนลูกไม่กี่ตังค์ ซื้อให้สักหมื่นลูกก็ได้

ไอ้ซื้อกับอาบัติมันคนละตัวเว้ย มึงจะซื้อมาล้านลูกก็ไม่สำคัญ แต่มึงทำผิดอาบัติแล้ว มันไปเห็นของไม่มีค่าไง เห็นทิฏฐิมานะเห็นกิเลสมันตัวเท่าฟ้าไง แต่เห็นสิ่งที่กูทำนี่เป็นของเล็กน้อย กิเลสมันใหญ่กว่ามึงมันครอบหัวไว้อย่างนี้ แล้วบอกจะมาฆ่ากิเลสกัน จะมีมากมีน้อยไม่สำคัญ สำคัญทำถูกต้องไหม ทำถูกต้องไหมนั่นล่ะคือทำ ทำคือเราทำถูกต้องตามวินัย ถ้าทำถูกต้องตามวินัยแล้วสิ่งนั้นเป็นธรรม แล้วสิ่งนี้ทำไม่ทำ แล้วคนอื่นทำหรือไม่ทำ แล้วทำไม่ทำ ถ้ามีโอกาสบอกหัวหน้า หัวหน้าผู้ที่รักษา

ถ้าสิ่งนั้นเขาจะเข้ามาขวาง เขาทำให้สังคมเรามีปัญหา นิ้วไหนร้ายต้องตัดนิ้วนั้นทิ้งก่อน ถ้าไม่ตัดมือนั้นทิ้งมือมันจะเน่าหมด นิ้วไหนร้ายต้องตัดนิ้วนั้นทิ้งเลย ฉะนั้นถ้ามีปัญหาขึ้นมา เพราะมันเป็นเรื่องของสันดานสันดอน มันขุดกันไม่ได้ เรื่องของทิฏฐิมานะในใจมันฝังใจมา ฉะนั้นถ้านิ้วไหนร้ายต้องตัดนิ้วนั้นทิ้ง!

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ภิกษุชาววัชชีไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วไปจัดที่นอนกันอยู่ ส่งเสียงดังมาก ตอนนั้นพระนาคิตะเป็นผู้อุปัฏฐากอยู่

“นาคิตะ นั่นใครเข้ามาทำเสียงดังในนั้น”

“ลูกศิษย์ของพระสารีบุตรจะมาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระบวชใหม่หมดเลย เพิ่งบวชยังไม่รู้จักธรรมวินัย”

“นาคิตะไล่ออกไป ไล่ไปให้หมดเลย ดั่งชาวประมงเขาหาปลากัน”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไล่พระออกจากวัดเลย ส่งเสียงดังนี่ ไล่ออกๆๆ เลย แต่เราไปอ่านพระไตรปิฎกกันนะ โอ้โฮ พระพุทธเจ้านี่เมตตามาก โอ้ย จะร้องเพลงตีลังกาอย่างไร พระพุทธเจ้าก็จะเมตตา ไอ้คำว่าเมตตา เมตตาโดยธรรมนะ ถ้าเราจะปฏิบัติดีทำดี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมตตามากเลย แต่ถ้าประพฤติผิดทำผิดนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย เหมือนกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นช่างหม้อ จะปั้นหม้อขึ้นมาดินจะนวดอย่างดี ไม่ปราณีหรอก จะส่งเสริมจะฝึกพระนี่จะนวดอย่างดีเลย จะอัดอย่างเดียว เมตตานี่ไล่ออกๆ ไล่สึกเลย ไล่ออก

แต่พวกเราคาดการณ์กันด้วยทิฏฐิมานะว่าพระพุทธเจ้าจะเมตตามาก โอ้โฮ จะอุ้มจะโอ๋เป็นทารกเลย บวชไปแล้วเป็นทารกนะ อยู่ในอู่ จะอุ้ม จะเอาไปไหนด้วย ไม่มีทาง

ความเห็นของเรานะ เพราะอะไร เพราะสิ่งนี้ทำให้พระโลเล ทำให้พระเสียหาย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา เป็นผู้ชักนำนะ จะไม่ทำอย่างนี้เลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไล่ออกเลยนะ เพราะตอนนั้นพระอานนท์ยังไม่ได้เป็นผู้อุปัฏฐาก พระนาคิตะเป็นผู้อุปัฏฐากอยู่ “นาคิตะ ไล่ออกไปๆ” พอไล่ออกไป พระพวกนั้นต้องเก็บของออกไปหมดเลย มาเป็นร้อยๆ เก็บของออกไป เทวดามาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลยว่า ผู้ที่บวชใหม่เขาไม่รู้ก็ยังมี สุดท้ายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้คนไปตามกลับมาแล้วเทศน์สอนขึ้นมา เห็นไหม

คนเรามันไม่ใช่อยู่ที่ทิฏฐิมานะนะ มันต้องแก้ไข มันต้องรู้จักอะไรเป็นอะไร ถ้ารู้จักอะไรเป็นอะไร ถ้ารู้จักสังเกตสิ เขาทำควรทำให้เหมือนเขา สิ่งที่คนอื่นเขาทำ ทำอย่างไร ไม่ใช่เห็นเขาทำ สักแต่ว่าทำ สักแต่ว่าทำนี่มันขวางเขาไปหมดน่ะ เหมือนกับชาวบ้านเลย เขาจ้างคนใช้มา พอคนใช้แม่งทำเสร็จแล้วต้องทำอีกรอบหนึ่งไง เพราะคนใช้แม่งทำไว้เขลอะหมดเลย กูทำได้ๆ ขวางแม่งไปหมดเลย อย่างนั้นจ้างมาทำไม

นี่ก็เหมือนกัน โอ้โฮ คนโน้นเก่ง คนโน้นทำ แล้วต้องไปทำอีกรอบหนึ่ง สังเกตสิ ทำอย่างนี้ใช้ได้ไหม ทำอย่างนี้ถูกต้องไหม สังเกตสิ เราไปอยู่กับหลวงตานะ ท่านบอกเลย หูตานี่ให้สังเกต เขาทำแล้วเราทำได้เหมือนไหม ถ้าไม่เหมือนพลาดนิดหน่อยท่านเอาตายห่าเลย เพราะอะไร ขนาดมีตัวอย่างนะ มีตัวอย่างทำให้เห็นแล้วเราทำไม่ได้ เรายัง เอ๊อะๆ โอ๊ะๆ เงอะๆ งะๆ แล้วสติมันมาจากไหน หมั่นสังเกตสิ สังเกตว่าเขาทำอย่างไร คำนวณว่าวางตรงไหน แล้วเราทำให้ได้อย่างนั้น ไอ้นี่ไม่ใช่อย่างนั้นมาถึงแล้วรื้อมันทิ้งหมดเลย ..เอาใหม่

มีนะ ครูบาอาจารย์ท่านเล่าให้ฟัง บางวัดเขาเป็นป่าอยู่แล้ว ไปถึงโค่นต้นไม้เขาหมดเลย โค่นต้นไม้เขาเสร็จแล้วนะ ไปปลูกตึกปลูกอะไรขึ้นมา โอ้โฮ มันทุเรศมาก ต้นไม้กว่าจะปลูกได้เป็นร้อยๆ ปี มาถึงแน่มาก เก่งมาก โค่นแม่งหมดเลย

นี่ก็เหมือนกัน ข้อวัตรปฏิบัติ สิ่งที่ดีๆ ในวัดโค่นมันหมดเลย กูเก่ง กูแน่ มึงแน่มาจากไหน มึงรู้อะไรมา ถ้ารู้มาทำไมไม่ชนะกิเลสมา กิเลสในใจทำไมไม่เอาชนะมันมา ทำไมกิเลสมันเหยียบย่ำมา ไอ้ที่แน่ๆ กิเลสมันขี่หัวมาตลอดนะ แล้วพอจะมาแก้ไขจะมาต่อสู้กับมัน ของแค่นี้ก็ว่าลำบาก ก็ว่าทำไม่ได้ ก็ว่าไม่สู้แล้ว แล้วเวลาคุยกันนะ จะสอยดาวสอยเดือนเชียว มรรค ผล นิพพาน ไม่รู้พานของใคร

มรรค ผล นิพพาน ของกิเลสไง ให้กิเลสมันเหยียบย่ำไง ถ้ามรรค ผล นิพพาน ของเรานะ ของเรามันต้องเกิดจากเรา ศีล สมาธิ ปัญญา ทางโลกเขาทาน ศีล ภาวนา ของเราศีล สมาธิ ปัญญา ต้องมีศีลเป็นพื้นฐาน เห็นไหม ดูสิ ถ้ามีศีลเป็นพื้นฐานสิ่งที่พูดมานี่จะเข้าใจหมดเลย เพราะเราทำมันอยู่แล้ว ของที่ทำอยู่กับมือแล้วครูบาอาจารย์มาพูดนะ เหมือนเราเป็นช่างอยู่เราทำสิ่งใดก็แล้วแต่ แล้วเราไปทางวิชาการ สิ่งที่เราทำอยู่แล้วมันเข้ากันได้หมดเลย แล้วคิดดูสิเราจะไปตื่นเต้นกับอะไร เพราะเรารู้ๆ อยู่แล้ว

สิ่งที่แสดงอยู่ ธรรมะ ๒,๕๐๐ ปี พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้แล้ว ของเก่าๆ ทั้งนั้น ถ้าพูดตามข้อวัตรปฏิบัติแล้วมันจะอันเดียวกันทั้งนั้น ไม่แยกออกจากทางนี้ไปเลย แล้วเราอยู่ในทางอันนั้น แล้วคิดดูสิว่าสังคมของสงฆ์มันไปในแนวทางเดียวกัน แล้วสังคมของสงฆ์มันยืนยงขนาดไหน แล้วสงฆ์มันจะเข้มแข็งขนาดไหน ถ้าสงฆ์มันเข้มแข็งขนาดไหน เราจะไปตื่นเต้นอะไร

นี่ไงถ้ามีศีลมันองอาจกล้าหาญ เข้าได้ทุกสังคมเลย สังคมไหนก็เข้าได้ มีสมาธิขึ้นมา เห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านพูดกับเราเรื่องสมาธิ โอ้ สมาธิอย่างนี้เราก็เป็นแล้ว เห็นไหม สมาธิทำอย่างนี้เป็นสมาธิ ถ้าเป็นสมาธิขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญา เกิดสมาธิขึ้นมามันก็มีความสุขของมันขึ้นมา แล้วเกิดปัญญาขึ้นมา อ๋อ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาโลกุตตรปัญญา ปัญญาอย่างนี้เองที่ปัญญาจะฆ่ากิเลส ไม่ใช่ทิฏฐิมานะที่เราว่าเป็นปัญญาที่เรารู้นั่น นั่นมันโลกียปัญญา ไอ้นั่นปัญญาของกิเลส กิเลสมันฟาดฟันเรา มันเหยียบย่ำเราอยู่ใต้อำนาจของมัน ยังไม่รู้ว่าอันนี้เป็นกิเลส ยังเข้าใจว่าเป็นปัญญาอยู่นะ

เพราะอะไร เพราะมันไม่มีศีล มันไม่มีสมาธิไง ถ้ามีสมาธิขึ้นมา มันจะเข้าใจว่า อ้อ สมาธิเป็นอย่างนี้ โลกุตตรปัญญาเป็นอย่างนี้ เห็นไหม ถ้าเรามีธรรม เราปฏิบัติธรรม ธรรมอันนี้มันจะเข้ามาถึงเรา ถ้าเข้ามาถึงเราศีลธรรมคุณธรรมมันเกิดขึ้นมา ถ้าเกิดขึ้นมานี่มันไปไหนมันถึงองอาจกล้าหาญ เห็นไหม

นี่ศาสนาเจริญ เจริญที่นี่ ถ้าเจริญที่นี่ เราควรรักษาของเราที่นี่ ถ้ารักษาของเรา เห็นไหม เราทำของเรา แล้วคิดดูสิเหมือนนายช่าง นายช่างที่มันทำทุกๆ อย่างเป็นแล้ว มันจะกลัวสิ่งใดที่มีการกระทำของงานอันนั้น

นี่ก็เหมือนกัน ต่อไปเราจะเป็นพระผู้ใหญ่ไปข้างหน้านะ โดยธรรมชาติของมัน พรรษามันจะแก่ไปข้างหน้า แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน จะเอาอะไรไปสอนเขา เวลาลูกศิษย์เข้ามาถามเรื่องสมาธิเรื่องปัญญา ไม่มีทางไปต่อล้อต่อเถียงกับเขา ไม่มีทางเป็นไปไปกับเขา แล้วเราจะไปสอนเขาอย่างไร

แต่ถ้าเรารู้ของเรา เห็นไหม เราสอนเขาตั้งแต่เขายังไม่ได้ถามเราเลย ยังไม่ได้ถามเรานี่ เราปูทางให้แล้วนะ ควรทำอย่างนี้ ควรทำใจอย่างนี้ ควรจะมีข้อวัตรอย่างนี้ จิตใจต้องมีสภาวะแบบนี้ ถ้ามีสภาวะแบบนี้มันจะเข้ามาหาความจริงอย่างนี้ ถ้าหาความจริงอย่างนี้ ธรรมะจะไม่ขัดแย้งกันเลย ธรรมะจะไหลไปแนวทางเดียวกัน ธรรมะมันจะไปแนวทางเดียวกันนะ ศีล สมาธิ ปัญญา มันต้องไปแนวทางเดียวกัน มันไม่มีขัดแย้งกันหรอก ถ้าขัดแย้งกันอยู่มันผิดอยู่แล้ว แล้วถ้าไม่มีการขัดแย้งกัน แล้วเราทำสิ่งนี้ มันจะเกิดขึ้นมาอย่างไร

ถ้ามันเกิดขึ้นมา เราวางแนวทางของเรา แล้วมันจะเข้าไปตามแนวทางนั้น ถ้าแนวทางนั้น เห็นไหม ศากยบุตรพุทธชิโนรส นี่เราเป็นสมณทายาท เราเป็นทายาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราทำขึ้นมาจนใจเราเป็นทายาท เพราะเรารู้จริงขึ้นมา เห็นไหม อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนในเมื่อมีหลักเกณฑ์ของเรา ตนในเมื่อมีความรู้อย่างนี้ขึ้นมาแล้ว สิ่งที่เราทำขึ้นมาแล้ว เราจะสอนคนอื่นไม่ได้ เป็นไปได้ไหม

เรารู้จริงขึ้นมา เราได้แก้ไขกิเลสของเราแล้ว จากใจดวงหนึ่งให้ใจดวงหนึ่ง ใจของเราได้พัฒนาขึ้นมาแล้ว แล้ววิธีการพัฒนาขึ้นมาเราเป็นคนทำของเราขึ้นมา ถ้าเราเป็นคนทำของเราขึ้นมา เราจะบอกคนอื่นได้ไหม มันจะบอกคนอื่นไม่ได้มันจะเป็นไปได้อย่างไร มันต้องบอกคนอื่นได้สิ การบอกคนอื่นนี่มันเกิดขึ้นมาจากเรา แล้วเกิดขึ้นมาจากเรา เราทำได้หมดเลย สิ่งที่เราทำได้นี่เป็นความจริงของเรา

ถ้าความจริงของเรา เห็นไหม สิ่งใดเป็นความจริงขึ้นมา นี่เป็นเหตุ ผลจะเกิดขึ้นมากับเรา ผลคือความสุขของเรา จิตมันจะมีความสุข จิตจะมีความพอใจของมัน จิตมีความสุขนะ จิตมีความเข้าใจ ถ้ามีความเข้าใจแล้วเรารู้ของเราเอง ถ้ารู้ของเราเองจุดยืนของเราจะมั่นคงมาก เราจะไม่โลเลไปกับเขา จะไม่โลเลไปกับสิ่งนั้นเลย เพราะสิ่งนั้น ดูสิ คนที่เป็นโรคเป็นภัย หายจากเป็นโรคเป็นภัยแล้วมันจะไปกินของแสลงไหม ของแสลงนั้นทำให้เราเจ็บไข้ได้ป่วยใช่ไหม

นี่ก็เหมือนกัน เรื่องของโลกกิเลส โลกในหัวใจของเรา มันมีของมันโดยธรรมชาติของมันอยู่แล้ว เห็นไหม ถ้าเราแก้ไขมันแล้ว เราจะกลับไปกินมันอีกไหม เราจะกลับไปกินของแสลงอีกไหม กิเลสมันเป็นอย่างนั้น มันทำให้เราเสียหายไปอย่างนั้น เราจะไปกับมันอีกทำไม ถ้าเราไปกับมัน เห็นไหม แล้ววิธีที่ไม่ไป เราต้องเห็นวิธีการไม่ไป เราต้องมีวิธีการเอาชนะมันได้ด้วย วิธีการนี่ฝืนมันไว้ ฝืนให้เราไม่ไปกับมัน ฝืนให้เราต่อต้านมัน ฝืนให้เราต่อสู้กับมันจนเราเป็นอิสระขึ้นมา

อิสระขึ้นมา เห็นไหม มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา ปัญญาในการใคร่ครวญนะ ถ้าเรามีปัญญาขึ้นมาแล้วเราจะรักความสงบสงัดมาก เราจะรักธรรมวินัยมาก สิ่งที่เป็นธรรมเป็นวินัยที่เราจะรักษา เราสงวนเราจะรักษาของเรา สงวนรักษาของเราขึ้นมาให้เป็นประโยชน์กับเรา เราจะเข้มแข็งของเราขึ้นมา มันจะเป็นประโยชน์กับเรา ถึงทำเพื่อเรา ทำแล้วมันต้องเป็นสมาธิชอบ งานชอบ เพียรชอบ ปัญญาชอบ สิ่งที่เป็นความชอบขึ้นมามันจะเข้ามาหาเรา นี้พื้นฐาน

ก่อนที่จะเป็นสมาธิชอบ เป็นความเพียรชอบ เป็นปัญญาชอบ มันจะต้องมีฐานรองรับ ถ้าไม่มีฐานรองรับ เราโลเล เราจะเอาอะไรรองรับ ถ้าไม่มีสิ่งใดรองรับ เราจะเอาอะไรไปต่อสู้กับมัน เราจะต่อสู้กับมันไม่ได้หรอก รอวันล้มละลายเท่านั้น ประพฤติปฏิบัติไปเพราะมันเป็นมิจฉา มันเป็นความเห็นของกิเลส กิเลสมันหลอกลวงเรา ถ้ากิเลสมันหลอกลวงเรา ขณะที่มันยังอยู่ในสังคม อยู่ในครูบาอาจารย์ที่ยังดูแลเราอยู่มันก็ซ่อนคมซ่อนเล็บมันไว้ พอซ่อนคมซ่อนเล็บมันไว้ มันก็ว่าสิ่งนี้เป็นธรรม เวลามันออกไปจากครูบาอาจารย์มันจะแสดงฤทธิ์เดชของมัน

แสดงฤทธิ์เดชของมันคือมันเอาสิ่งที่ตัวรู้ตัวเห็นออกไปหากิน หากินเป็นผลประโยชน์ไง ถ้าหากินเป็นผลประโยชน์ นี่มันทุจริต พอทุจริตขึ้นไปแล้วมันจะเป็นอะไรไป อกุศล กุศล มันต่างกันตรงนี้ไง ถ้ากุศลขึ้นมามันชำระกิเลส มันต่อสู้กับเรา มันทำลายเรา มันทำลายเรามันไม่เป็นอกุศล มันจะเอาอะไรไปหากิน มันเพราะอะไร เพราะความเป็นอยู่ของเรา มันเห็นอยู่แล้ว การบิณฑบาตมา อาหารตกบาตรขึ้นมา เราฉันเข้าไปในท้อง แค่ปัจจัยเครื่องอาศัยมันอยู่ได้แล้ว ชีวิตมีเท่านี้เอง เพราะว่าชีวิตมีเท่านี้เอง มันไม่ตื่นเต้นไปกับลาภสักการะ ไม่ตื่นเต้นไปกับสิ่งใดๆ เลย สิ่งที่ตื่นเต้นไปกับเราเป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้น กิเลสเอาสิ่งนี้เป็นพื้นฐานแล้วออกไปหาลาภสักการะ มันไม่ได้เห็นคุณธรรม

แต่ถ้าเป็นพระขึ้นมานี่ คุณธรรมในหัวใจมันเต็มอยู่แล้ว ลาภสักการะนี่มันเรื่องเป็นภาระ สิ่งที่เป็นภาระนะ ภาระรับผิดชอบ มันเป็นภาระของเรามา ถ้ามันเกิดขึ้นมามันเป็นอำนาจวาสนาของแต่ละบุคคลที่ไม่เหมือนกัน ถ้ามันเกิดขึ้นมาโดยธรรมใช่ไหม มันเป็นความชอบธรรมทั้งหมด เพราะอะไร เพราะสิ่งนี้เป็นอำนาจวาสนาที่ได้สร้างสมมา ได้สร้างสมมา เราก็บริหารจัดการมันได้ด้วยความเป็นธรรมไง เจือจานกันไป แจกทานกันไป เพื่อเป็นสังคมโลก โลกอาศัยปัจจัยเครื่องอาศัย ในปัจจัยเครื่องอาศัยมันมีเครื่องอาศัยของโลกของเขา

แต่สมณะเรานี่อาศัย ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามีฐานเป็นศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา นี่มีคุณค่ามาก เพราะอะไร เพราะเราเสียสละสิ่งต่างๆ เป็นสมบัติของเรามา เพราะเราแสวงหา ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วศีล สมาธิ ปัญญา เกิดขึ้นมากับเรา ศีล สมาธิ ปัญญา เกิดขึ้นมาจนเราใช้สิ่งนี้เป็นปัญญาขึ้นมาใช้ใคร่ครวญชำระกิเลสของเราขึ้นมา จนใจเราพ้นจากกิเลสมา พอใจเราเข้มแข็งขึ้นมาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา

ในเมื่อใจเราเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา เราอาศัย ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นอาหาร เป็นสัมมาอาชีวะ เป็นการเลี้ยงชีพ เป็นคุณธรรมชำระกิเลสขึ้นมา สิ่งนี้มันมีคุณค่า สิ่งที่มีคุณค่าในหัวใจเรามันมีคุณค่าอยู่แล้ว เราจะไปเอาคุณค่าจากภายนอกไปทำไม แต่สิ่งที่เป็นคุณค่าภายนอก เห็นไหม คำว่าอำนาจวาสนาที่สร้างสมมาแล้วมันมีมาโดยธรรมชาติ มันมีมาโดยธรรม อย่างพระสีวลีของท่านมีมาโดยธรรมชาติ เพราะทุกคนต้องการทำบุญกับพระสีวลี ลาภสักการะมันเป็นธรรมชาติของพระสีวลีท่าน พระสีวลีท่านสร้างมา

การสร้างมา เห็นไหม ดูสิ ดูพระเราที่ประพฤติปฏิบัติมาเพื่อจะพ้นจากทุกข์ คุณค่าของเราคือใจที่พ้นจากทุกข์เท่านั้น ไอ้นี่มันเป็นเปลือก เป็นสิ่งที่เราสร้างฐานเป็นบารมีมา สิ่งที่เป็นบารมีมา เห็นไหม การปฏิบัติยาก การรู้ยากปฏิบัติง่าย รู้ง่าย สิ่งต่างๆ เป็นการสร้างบารมีมา แต่ถึงที่สุดแล้วปฏิบัติขึ้นมาเอาแก่นสารของมัน เอามรรคญาณที่ชำระกิเลสนี้ เอาแก่นสารของอันนี้ ถ้าเรามีแก่นสารอันนี้ เอาแก่นสารอันนี้มาฆ่ากิเลสได้

แต่แก่นสารอันนี้มันตั้งอยู่บนอะไร ในเมื่อเรายังไม่รู้จักวิธีการของเรา แก่นสารของเราต้องตั้งอยู่บนข้อวัตรปฏิบัติก่อน ข้อวัตรปฏิบัติมันต้องเป็นฐานรองรับสิ่งนี้ขึ้นมา มันถึงจะมีแก่นสารอันนี้เกิดขึ้น แต่เราไปเห็นว่ามีแก่นสารอันนี้ เราจะไปแสวงหาแก่นสารอันนี้ โดยที่เราปฏิเสธพื้นฐาน แล้วมันจะมีแก่นสารมาจากไหน

แก่นสารมันก็เหมือนการแสดงออก เห็นไหม การแสดงออกว่าถ้าคนมีแก่นสาร การแสดงออกการพื้นฐานมันก็เป็นสิ่งที่น่าเคารพบูชา สิ่งที่เคารพบูชาเห็นไหม ทั้งที่แก่นสารอันนี้ การเคารพบูชานี่เราก็ต้องเอาตัวนี้เป็นตัวหลักก่อน เอาตรงนี้เป็นพื้นฐานเป็นตัวหลัก เป็นการดูกันว่าคนมีหลักมีเกณฑ์ คนมีคุณธรรม การแสดงพื้นฐานมันต้องเป็นคุณธรรมอันนี้ก่อน เราถึงต้องรักษาข้อวัตรอันนี้ไว้ไง รักษาไว้เพื่อนะ

ดูสิ พระกัสสปะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “กัสสปะ เธอก็อายุปานเรา ๘๐ เหมือนกัน พระอรหันต์เหมือนกัน ถือธุดงค์ทำไม” พระอรหันต์ต้องถือธุดงค์ทำไม พระอรหันต์ต้องอยู่ในกรอบกติกาทำไม “อยู่เป็นคติกับอนุชนรุ่นหลัง” เห็นไหม เป็นคติเป็นแบบอย่างของเรา อยู่ที่แบบอย่างของเรา แต่ครูบาอาจารย์ที่ท่านสิ้นไปแล้วท่านอยู่สุขสบายของท่าน ดูสิ พระอัญญาโกณฑัญญะ สอนหลานองค์เดียว พระปุณณมันตานีบุตรหลานของพระอัญญาโกณฑัญญะ สอนองค์เดียว อำนาจวาสนาของท่าน ท่านก็อยู่ในป่าในเขาตลอดมา

พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ ปรารถนาเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายเบื้องขวา เป็นพยาน เป็นผู้เผยแผ่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านสร้างของท่านมา บารมีมันเป็นอย่างนั้น เหมือนกับเบนซิน โซล่าร์ น้ำมันก๊าด น้ำมันเตา มันน้ำมันคนละชนิดมันก็คนละชนิด แต่พลังงานที่เอามาใช้ประโยชน์กับพลังงานเห็นไหม ใช้ประโยชน์ให้แสงสว่างต่างๆ พลังงานมันจะใช้ประโยชน์ได้ก็คือใช้ประโยชน์

จริตนิสัยแต่ละองค์ไม่เหมือนกัน แต่พลังงานอันนั้น ความประโยชน์นั้น คือว่าถ้าสิ้นกิเลสได้อันนั้นคือสุดยอดไง คือสิ่งที่เป็นพลังงานที่ใช้ประโยชน์ได้ ใช้ประโยชน์ได้สมประโยชน์ทั้งหมดก็เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้มันสมประโยชน์กับเรา ให้มันมีประโยชน์กับเรา มันเป็นมรรคญาณขึ้นมา มันชำระกิเลสของเราขึ้นมา อานิสงส์สำคัญมาก หลักสำคัญคือการประพฤติปฏิบัติ การเข้ามาชำระกิเลส แต่มันก็ต้องมีพื้นฐานรองรับ ถ้ารองรับขึ้นมา ถ้ามันจิตเสื่อมลงมามันก็มีพื้นฐานรองรับ เห็นไหม ถ้ามีสมาธิ ปัญญามันเสื่อมมาก็มีสมาธิรองรับ มันก็ยังไม่ถอยกรูดๆ เห็นไหม มีศีลรองรับ ถ้าสมาธิเสื่อมก็มีศีลรองรับ รองรับก็พยายามประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ มันเป็นเรื่องธรรมดาระหว่างการเดินทาง

ในการประพฤติปฏิบัติมันจะมีเจริญแล้วเสื่อม ปัญญาหมุนออกไปแล้วก็เสื่อม ความเสื่อม เวลามันเสื่อมขึ้นมา คนประพฤติปฏิบัติแล้วจะให้มันรุ่งเรืองตลอดไป มันเป็นไปได้ยาก คนเราระหว่างการประพฤติปฏิบัติมันมีเจริญแล้วเสื่อมตลอดเวลา มันถึงต้องมีพื้นฐานรองรับเพื่อไม่ให้เราไหลลงไป จนถึงที่สุดไหลลงไปจนตกทะเลไปเลย

มันถึงต้องมีเป็นการแสดงออก กิริยาแสดงออกของสมณะ เรามีชีวิตต่างจากคฤหัสถ์แล้ว เราถ้ามีชีวิตเหมือนคฤหัสถ์ เห็นไหม ดูสิ ดูที่เขาอยู่กัน เห็นไหม พระเราในเมื่อต้องกินต้องใช้ก็ทำไร่ไถนา เห็นไหม ต้องหาที่ปลูกทำไร่ไถนาเหมือนเขา มันชีวิตคฤหัสถ์นั่นน่ะ แล้วถอยกรูดๆ ไป ต่อไปเขาไม่เคารพพระเลย เขาไม่ต้องไหว้พระเลย เพราะพระก็ดำรงชีวิตเหมือนกัน พระก็ทำไร่ไถนา พระก็ทำธุรกิจ พระค้าขายเหมือนกัน แล้วพระกับโยมต่างกันตรงไหน ก็ไม่เห็นต่างกันเลย

ก็เหมือนกับเราที่คิดกันไง คิดว่า เอ้อ เราก็มีปัญญา นี่ปัญญาของโลกนะ ปัญญาของโลก อย่าเอาเข้ามาใช้ในชีวิตสมณะเรา เราไม่ใช้ ดูสิ ในการกระทำ เห็นไหม ในเรื่องของการพรากของเขียว เวลาพูดไป ภิกษุพรากของเขียวเองก็ดี สั่งให้คนอื่นทำก็ดี ฉะนั้นเวลาภิกษุให้พิจารณา เห็นไหม ครูบาอาจารย์บอกให้พิจารณาตรงนี้ให้หน่อยหนึ่ง เห็นไหม ใช้อุบาย เราจะใช้ชีวิตอย่างเขาไม่ได้ เราจะบอกให้เขาทำถากถางไม่ได้ ใช้อุบายวิธีการบอกอย่างนี้ ทำตรงนี้ให้ทีๆ ชี้ให้เขา รับรู้กันโดยอุบายไง ทำเองก็ดี ใช้ผู้อื่นก็ดี ชีวิตของสมณะ ถ้ามันสะอาดบริสุทธิ์ไง

แต่ทีนี้โลกมันโง่ จับหัวมันทิ่มเข้าไปเลย บอกให้ถากหญ้ามันยังไม่รู้เรื่องเลย เพราะอะไร เพราะเราไม่ได้ฝึกไว้ ทุกอย่างมันต้องฝึกไว้หมดนะ ผู้อุปัฏฐากพระก็ต้องฝึกว่าอุปัฏฐากพระจะทำอย่างไรให้เข้าใจพระ พระที่จะใช้เขาพระมีคุณธรรมอย่างไร ถ้ามันมีการฝึกฝนมา หลวงปู่มั่นท่านวางรากฐานมา แต่เดี๋ยวนี้ศาสนาเสื่อม ทุกอย่างเสื่อม ไม่มีใครดูแล ไม่มีใครเอื้ออาทรกับศาสนา ไม่มีใครเอื้ออาทรกับธรรมวินัย เราไม่เอื้ออาทรกับธรรมวินัย ทิฏฐิมานะ อวดรู้อวดใหญ่ ไร้สาระมากเลย กิเลสทั้งนั้นเลย

คนมีคุณธรรมอ่อนน้อมถ่อมตนทั้งนั้น อ่อนน้อมถ่อมตนกับธรรมวินัย ลงในธรรมลงวินัยนี่ไม่เหยียบหัวองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไป จะลงธรรมลงวินัย ลงวินัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยอมรับแล้วทำตามนั้น ขณะจิตมันพ้นไปแล้ว สิ่งต่างๆ เห็นไหม จิตมันพ้นออกไป ธรรมและวินัยเป็นสมมุติ สมมุติทั้งนั้น สิ่งนี้เป็นสมมุติ สมมุติบัญญัติขึ้นมา จิตมันข้ามพ้นจากสมมุติบัญญัติ จะอยู่เสวยมันก็ทำได้ แต่ท่านไม่ทำของท่าน เพราะท่านเห็นคุณค่าของมัน เห็นคุณค่าของศาสนา เห็นคุณค่าที่พึ่งของชาวพุทธ ถึงรักษาสิ่งนี้ไว้นะ

เราเป็นพระ ชีวิตเราต้องให้เป็นพระจริงๆ เป็นพระขึ้นมาให้เป็นสังคมแบบอย่างของเรา เราจะต่อสู้กับเรา จะชำระกิเลสนะ มันจะตื่นตัว มันตื่นตัวขึ้นมา ไม่ให้ชีวิตนั้นเสียเปล่าไป มันจะเป็นประโยชน์กับเรา ไม่ใช่เราไหลไปตามกิเลสแล้วคิดว่ามันเป็นธรรม คิดว่ามันเป็นความโก้เก๋นะ อวดรู้อวดฉลาดกับคนอื่น นึกว่าเก่ง ทั้งๆ ที่นั่นน่ะกิเลสท่วมหัว กิเลสเหยียบเราไปจมดินเลย แต่เราคิดว่าเรารู้

แต่ถ้าเป็นคุณธรรมอ่อนน้อมถ่อมตน สิ่งที่อ่อนน้อมถ่อมตนยิ่งรู้ขนาดไหนมันยิ่งชำระกิเลส มันดัดแปลงกิเลสไปตลอด นี้คือคุณธรรม เราต้องรักษาสิ่งนี้ไว้แล้วเราทำสิ่งนี้ขึ้นมา มันจะเป็นประโยชน์กับเรา

วันนี้วันอุโบสถนะ ตั้งใจๆ เวลาอุโบสถแล้ว ฟังสิ่งใดมันเหมือนศีล ๒๒๗ ถ้าในสมัยพุทธกาล เห็นไหม มันเป็นภาษาบาลี เขาเข้าใจกันหมด เขาจะคอยสะกิดว่าใครผิดใครถูก แต่นี่เพราะเราไม่เข้าใจ แต่ถ้าคนท่องปาติโมกข์ได้จะเข้าใจ สิ่งนี้เข้าใจ เห็นไหม นี่ศากยบุตรพุทธชิโนรส ศากยบุตรไง สิ่งนี้มันสะเทือนใจ ถ้าเราไม่เข้าใจสภาวะแบบนี้

ภิกษุ ๕ พรรษาขึ้นเป็นผู้ฉลาด ผู้ฉลาดคือท่องปาติโมกข์ได้ไง พ้นจากนิสัย ถ้ายังไม่พ้นนิสัยต้องขอนิสัยไปเรื่อยๆ ถ้าไม่ขอนิสัยไปนะ ศากยบุตรมันจะเรียวแหลม เพราะมันไม่มีใครอยู่ในกรอบไง มันเจอผู้ที่สืบทอดมา เหมือนกับน้ำมัน ไม่มีน้ำมันดิบมันจะไปมีน้ำมันเบนซินได้อย่างไร นี่ก็เหมือนกัน ไม่มีผู้บวชใหม่เข้ามาเป็นศากยบุตร เห็นไหม แล้วนิสัยมันจะหล่อหลอม หล่อหลอมจากน้ำมันดิบให้เป็นน้ำมันสำเร็จรูป

แล้วประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน มันถึงต้องสืบต่อกันต้องดูแลกัน แล้วผู้ที่เข้ามาแล้วก็ต้องพยายามเห็นโทษของมัน เห็นโทษของความคิด เห็นโทษในการเหยียบหนามนี้ไป เหยียบย่ำธรรมวินัย เหยียบหนามเหยียบขวากหนามไป ขวากหนามนี่เอาไว้ป้องกันไม่ให้เราล้มลุกคลุกคลาน เราจะเดินหลบหลีกขวากหนาม ธรรมวินัยบังคับไว้ เราต้องหลบหลีกไปตามธรรมวินัยนี้ อยู่กับธรรมวินัยนี้ด้วยความเคารพศรัทธา แล้วเราจะถึงที่สุดได้แห่งการประพฤติปฏิบัติ เราถึงตั้งใจทำ นี่เป็นศากยบุตรพุทธชิโนรสที่เคารพธรรมวินัยตามความเป็นจริง เอวัง